น้ำมันมะกอก (Olive Oil) เป็นน้ำมันจากธรรมชาติที่สกัดจากผลของต้นมะกอก ขึ้นชื่อเรื่องคุณประโยชน์ด้านการควบคุมคอเลสเตอรอล ลดไขมันในเส้นเลือดและอยากได้ลดความดันโลหิต และมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลาย โดยขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำมันมะกอก เช่น น้ำมันมะกอก Extra Virgin นำมารับประทานสดโดยไม่ผ่านความร้อน, น้ำมันมะกอก Extra Light เหมาะสำหรับนำมาใช้ปรุงอาหารทอด เป็นต้น
ไม่เพียงแค่ดีต่อสุขภาพภายในเท่านั้น น้ำมันมะกอกยังสามารถนำมาใช้เพื่อบำรุงผิว ด้วยการทาบาง ๆ และนวดบริเวณผิวเบา ๆ ก็จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ดูสุขภาพดีให้กับผิวได้ และสำหรับใครที่มีปัญหาผมแห้งเสีย ก็ยังสามารถใช้น้ำมันมะกอกปริมาณ 1 – 2ช้อนโต๊ะ มาชโลมให้ทั่วศีรษะและหมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ก็จะช่วยลดปัญหาผมแห้งชี้ฟูได้แล้วค่ะ
วิธีการเลือกน้ำมันมะกอก
เนื่องจากน้ำมันมะกอกมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็จะเหมาะกับการทำอาหารที่แตกต่างกัน เราจึงต้องทำความรู้จักกับน้ำมันมะกอกประเภทต่าง ๆ ก่อนการเลือกซื้อ
① เลือกตามประเภทของน้ำมันมะกอก
น้ำมันมะกอกในท้องตลาด ส่วนใหญ่แบ่งออกเป็น 5 ประเภท คือ น้ำมันมะกอก Extra Virgin, น้ำมันมะกอก Virgin, น้ำมันมะกอกผสม, น้ำมันมะกอกผ่านกรรมวิธี และน้ำมันกากมะกอก ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีความแตกต่างกันดังนี้
น้ำมันมะกอก Extra Virgin
น้ำมันมะกอก Extra Virgin
น้ำมันมะกอก Extra Virgin เป็นน้ำมันมะกอกคุณภาพดีที่สุดและมีราคาสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเภทอื่น มีรสชาติที่เข้มข้นและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์มาก เพราะเป็นการสกัดจากผลมะกอกสด ๆ สีเขียวเข้มซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการสกัดเย็น เหมาะกับการนำมาผสมกับน้ำสลัด ทานคู่กับพาสต้า หรือทำเป็นซอสต่าง ๆ โดยไม่ผ่านความร้อนใด ๆ เพราะความร้อนอาจทำให้คุณค่าทางโภชนาการและวิตามินต่าง ๆ ในน้ำมันสูญเสียไป และจะทำให้น้ำมันกลายเป็นสารอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้ค่ะ
น้ำมันมะกอก Virgin
น้ำมันมะกอก Virgin
น้ำมันมะกอก Virgin เป็นน้ำมันที่ได้จากผลมะกอกสดโดยวิธีการสกัดเย็นเช่นเดียวกับน้ำมันมะกอก Extra Virgin แต่จะใช้มะกอกผลที่แก่ จึงได้รสชาติและกลิ่นที่จางกว่า เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับใครที่รู้สึกว่าน้ำมันมะกอก Extra Virgin มีราคาที่สูงเกินไป เพราะน้ำมันมะกอก Virgin จะมีราคาที่ย่อมเยากว่า แต่จะได้ประโยชน์ต่อสุขภาพเหมือนกัน เหมาะสำหรับนำมาทานสด ๆ หรือทานคู่กับสลัดโดยไม่ผ่านความร้อนค่ะ
น้ำมันมะกอกผสม (Olive Oil / Pure Olive Oil)
น้ำมันมะกอกผสม (Olive Oil / Pure Olive Oil)
น้ำมันมะกอกแบบผสม เป็นการนำน้ำมันมะกอก Extra Virgin ละน้ำมันมะกอกที่ผ่านกรรมวิธีมารวมกันเพื่อเพิ่มสารอาหารเข้าไป จึงได้คุณค่าทางโภชนาการใกล้เคียงกับน้ำมันมะกอก Extra Virgin และสามารถโดนความร้อนได้ดีขึ้น จึงเหมาะสำหรับการทำเมนูที่ผ่านความร้อนแบบเร็ว ๆ เช่น การผัด อย่างไรก็ตาม น้ำมันมะกอกประเภทนี้ก็ยังไม่สามารถนำไปทอดได้เนื่องจากมีส่วนผสมของ น้ำมันมะกอก Extra Virgin ที่หากโดนความร้อนก็จะเป็นไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพค่ะ
น้ำมันมะกอกผ่านกรรมวิธี (Refined Olive Oil, Light Olive Oil, Extra Light Olive Oil)
น้ำมันมะกอกผ่านกรรมวิธี (Refined Olive Oil, Light Olive Oil, Extra Light Olive Oil)
น้ำมันมะกอกผ่านกรรมวิธีนั้นจะไม่ระบุโดยตรงบนผลิตภัณฑ์ว่าผ่านกรรมวิธี แต่จะใช้คำว่า Refined Olive Oil, Light Olive Oil และ Extra Light Olive Oil แทน เป็นน้ำมันมะกอกที่ผ่านการเติมสารอาหารเข้าไปล้วน ๆ โดยจะไม่มีส่วนผสมของน้ำมันมะกอก Extra Virgin เลย ถึงแม้ว่าจะได้คุณค่าทางอาหารจากการเติมเข้าไป แต่จะขาดสี กลิ่น และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของน้ำมันมะกอกไป จึงทำให้น้ำมันที่ได้มีความใส และมีราคาที่ไม่สูงมาก ไม่สามารถนำมาทานสด ๆ กับสลัดหรือซอสต่าง ๆ ได้ แต่จะนิยมนำมาทำอาการประเภททอด เพราะสามารถทนต่อความร้อนได้ดี
น้ำมันกากมะกอก (Olive Pomace Oil)
น้ำมันกากมะกอก (Olive Pomace Oil)
น้ำมันกากมะกอก เป็นน้ำมันที่สกัดจากกากมะกอกโดยผ่านกระบวนการทางเคมีและความร้อน มีรสชาติจืด เป็นน้ำมันที่มีคุณค่าทางอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระต่ำสุดเมื่อเทียบกับประเภทอื่น ๆ มีส่วนของไขมันดีในปริมาณน้อย เป็นน้ำมันที่มีราคาถูกและเก็บรักษาได้นาน นิยมใช้ในร้านอาหารและในบ้าน เพราะสามารถนำมาทำอาหารที่ใช้ความร้อนสูงอย่างการทอดได้ค่ะ
② เลือกน้ำมันมะกอกจากภาชนะที่เหมาะสม
เลือกน้ำมันมะกอกจากภาชนะที่เหมาะสม
น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันที่เราต้องใส่ใจเรื่องของการเก็บรักษาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะน้ำมันมะกอก Extra Virgin เพราะจะเกิดการออกซิเดชันได้เมื่อถูกแสงแดดรวมถึงแสงไฟในบ้านจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ ซึ่งจะทำให้คุณภาพของน้ำมันมะกอกเสื่อมลงได้ จึงแนะนำให้เลือกน้ำมันมะกอกที่บรรจุในขวดทึบ ซึ่งเราจะเห็นส่วนใหญ่เป็นขวดสีเขียว และหลีกเลี่ยงการวางในบริเวณที่ถูกแสงแดดและแสงไฟ ซึ่งอาจแก้ปัญหาโดยการเก็บไว้ในตู้กับข้าวแบบทึบ นอกจากนี้ ยังควรเลือกแบบขวดแก้วแทนขวดพลาสติก เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่ผ่านของออกซิเจน ที่จะทำให้คุณภาพของน้ำมันมะกอกลดลงเช่นกันค่ะ
③ เลือกซื้อจากแหล่งผลิตของน้ำมันมะกอก
เลือกซื้อจากแหล่งผลิตของน้ำมันมะกอก
ประเทศที่สามารถผลิตน้ำมันมะกอกได้มากที่สุด คือ ประเทศสเปน ตุรกี กรีซ และอิตาลี ดังนั้น เราจะเห็นน้ำมันมะกอกส่วนใหญ่ที่วางขายตามซูเปอร์มาเก็ตนำเข้าจากประเทศเหล่านี้ ซึ่งจริง ๆ แล้ว เราไม่สามารถบอกได้ว่าน้ำมันมะกอกของประเทศไหนดีที่สุด แต่เนื่องจากการปลูก, สภาพดิน, สภาพอากาศ และปัจจัยอื่น ๆ ที่แตกต่างกัน อาจทำให้รสชาติและกลิ่นน้ำมันมะกอกของแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน โดยน้ำมันมะกอกจากอิตาลี จะมีกลิ่นคล้ายพืชใบเขียวที่ค่อนข้างชัดเจน ส่วนของสเปนจะมีกลิ่นแนวหอมหวานคล้ายผลไม้ และของประเทศกรีซจะมีรสชาติที่เข้มข้นและมีกลิ่นฉุนค่ะ